จากข้อกำหนดขั้นต่ำในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงสหประชาชาติ สู่การปฏิบัติจริงในไทยพร้อมขยายสู่ภูมิภาค สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) จัดการฝึกอบรมว่าด้วยการบริหารจัดการผู้ต้องขังหญิง ตาม “ข้อกำหนดกรุงเทพ” ครั้งที่ 2 ให้แก่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ระดับอาวุโสของประเทศไทยและสำหรับกลุ่มประเทศอาเซียน ระหว่างวันที่ 14-25 สิงหาคม 2560 เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังหญิงให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชน เตรียมความพร้อมก่อนกลับคืนสู่สังคม ลดโอกาสในการกระทำผิดซ้ำอีก และขยายแนวคิดโครงการเรือนจำต้นแบบไปยังประเทศในภูมิภาคอาเซียน
แม้กลุ่มผู้ต้องขังหญิงจะถือเป็นเพียงอัตราส่วนเล็กๆ เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมด แต่ในรอบสิบปีที่ผ่านมา จำนวนของผู้ต้องขังหญิงทั่วโลกได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าผู้ต้องขังชาย โดยในส่วนของประเทศไทย ข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ระบุว่าปี 2560 ผู้ต้องขังหญิงมีจำนวนสูงถึง 38,678 คน เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2551 ที่มีผู้ต้องขังหญิงเพียง 26,321 คน โดยประเทศไทยมีผู้ต้องขังหญิงสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐ จีน รัสเซีย และหากเปรียบเทียบกับประชากรต่อ 100,000 คน ถือว่าประเทศไทยมีอัตราส่วนผู้ต้องขังหญิงมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก
เร็วกว่าผู้ต้องขังชาย โดยในส่วนของประเทศไทย ข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ระบุว่าปี 2560 ผู้ต้องขังหญิงมีจำนวนสูงถึง 38,678 คน เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2551 ที่มีผู้ต้องขังหญิงเพียง 26,321 คน โดยประเทศไทยมีผู้ต้องขังหญิงสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐ จีน รัสเซีย และหากเปรียบเทียบกับประชากรต่อ 100,000 คน ถือว่าประเทศไทยมีอัตราส่วนผู้ต้องขังหญิงมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ประชากรผู้ต้องขังหญิงทั่วโลกเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่องในอัตราที่สูงกว่าผู้ต้องขังชาย โดย 8 ใน 10 ของประเทศในภูมิภาคอาเซียนต้องเผชิญกับสถานการณ์นี้ และนำไปสู่ปัญหาความแออัดในเรือนจำ อันเป็นปัญหาสำคัญในการบริหารจัดการเรือนจำและฟื้นฟูผู้ต้องขัง การฝึกอบรมในครั้งนี้จึงเป็นงานสำคัญของ TIJ เพื่อเสริมสร้าง ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลผู้ต้องขังหญิงแก่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์อาเซียน โดยให้คำนึงถึงความต้องการด้านเพศ สภาวะ และสร้างวัฒนธรรมที่คำนึงถึงความต้องการเฉพาะด้านของเพศหญิงให้เกิดขึ้นในราชทัณฑ์อาเซียนต่อไป”
การที่ผู้ต้องขังหญิงส่วนใหญ่มีภูมิหลังที่คล้ายคลึงกัน ทั้งการมีประวัติการถูกข่มเหง กระทำทารุณ มีความบอบช้ำทางจิตใจ มีปัญหาเรื่องการใช้สารเสพติด มีปัญหาสุขภาพทั้งทางกายและทางจิตใจ รวมไปถึงขาดโอกาสในการได้รับการศึกษาและโอกาสในการประกอบอาชีพ เป็นเสมือนการปูทางให้พวกเธอเหล่านี้ต้องเข้าไปสู่ชีวิตในเรือนจำ และหากพวกเธอเหล่านี้ไม่ได้รับการปฏิบัติที่คำนึงถึงความละเอียดอ่อนทางเพศ และการสนับสนุนที่เหมาะสมเมื่อเข้าสู่เรือนจำ จะยิ่งทำให้พวกเธอตกเป็นเหยื่อซ้ำสอง รวมถึงมีความเสี่ยงที่จะกลับไปกระทำความผิดซ้ำ ขณะเดียวกันจากที่เรือนจำในประเทศไทยถูกออกแบบเพื่อรองรับผู้ต้องขังชาย ยังส่งผลให้ผู้ต้องขังหญิงที่มีความต้องการพื้นฐานด้านเพศสภาวะต่างจากผู้ต้องขังชายถูกละเลย
ปัญหาดังกล่าวเป็นที่มาของการเสนอ “ข้อกำหนดกรุงเทพ” ซึ่งเป็นข้อกำหนดสหประชาชาติ ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง ที่พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้า พัชรกิติยาภา ทรงเล็งเห็นปัญหาและทรงร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยผลักดัน “ข้อกำหนดกรุงเทพ” ในเวทีสหประชาชาติ จนได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2553 ถือเป็นข้อกำหนดแรกของไทยที่ได้รับการยอมรับในเวทีสหประชาชาติ
ในการนี้ TIJ จึงได้ดำเนินการจัดการฝึกอบรม ว่าด้วยการบริหารจัดการผู้ต้องขังหญิง ตาม “ข้อกำหนดกรุงเทพ” ครั้งที่ 2 ให้แก่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ระดับอาวุโสของประเทศไทยและสำหรับกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อให้คำแนะนำ และให้ความรู้ในแนวทางการนำข้อกำหนดกรุงเทพไปปรับใช้ในทางปฏิบัติ ผ่านการสนับสนุนให้ผู้เข้าร่วมการฝึกอบรม ออกแบบแผนการปฏิบัติงาน การวางโครงสร้างสำหรับการนำข้อกำหนดกรุงเทพ รวมถึงกฎเกณฑ์และมาตรฐานสากลอื่นๆ ไปปรับใช้ นอกจากนี้ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงปัญหา ข้อท้าทาย รวมถึงแนวทางที่ดีในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิง นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมอบรมยังจะได้ประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของเรือนจำ รวมถึงโปรแกรมต่างๆ ว่าสอดคล้องกับแนวปฏิบัติระหว่างประเทศข้อกำหนดกรุงเทพมากน้อยเพียงใด อีกทั้งเป็นการสร้างเครือข่ายระหว่างเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ระดับอาวุโสในกลุ่มประเทศอาเซียน
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กล่าวถึงโครงการนี้ว่า “TIJ มีหน้าที่ส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติตามมาตรฐานของ “ข้อกำหนดกรุงเทพ” ทั้งในและต่างประเทศ โดยล่าสุด TIJ ได้เป็นเจ้าภาพในการฝึกอบรมว่าด้วยการบริหารจัดการผู้ต้องขังหญิงตามข้อกำหนดกรุงเทพ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สำคัญ เพราะการอบรมดังกล่าว เป็นการขยายโมเดลข้อกำหนดกรุงเทพสู่การปฏิบัติในประเทศภูมิภาคอาเซียน เพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์สำคัญในการราชทัณฑ์ของผู้หญิงที่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญา และเน้นการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับความต้องการเฉพาะด้านเพศสภาวะของผู้หญิงและเด็กติดผู้ต้องขังหญิง และสร้างมาตรฐานที่ดีสำหรับการปฏิบัติต่อผู้หญิง”
“ปัจจุบันเรือนจำในที่ต่างๆ เผชิญกับปัญหาคล้ายคลึงกันในเรื่องผู้ต้องขังล้นเรือนจำ และงบประมาณที่ไม่เพียงพอแก่การปฏิบัติงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี การนำข้อกำหนดกรุงเทพไปปรับใช้ไม่จำเป็นต้องมีงบประมาณ จำนวนมากเกี่ยวข้องเสมอไป และในบางข้อของข้อกำหนดกรุงเทพก็ไม่จำเป็นต้องมีงบประมาณเพิ่มเติมเลย ขอเพียงผู้เกี่ยวข้องมีความตระหนักในความสำคัญของเรื่องนี้ มีทัศนคติที่ดีต่อการเปลี่ยนแปลง และพร้อมใช้ความคิดสร้างสรรค์ปรับปรุงดัดแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิม”
สำหรับวิทยากรในการอบรมครั้งนี้ได้แก่ ดร.บาร์บารา โอเวน ผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศ เรื่องข้อกำหนดกรุงเทพ ดร.ซาแมนทา เจฟฟรีย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญาวิทยาและเพศสภาวะ จากมหาวิทยาลัยกริฟฟิธ (Griffith University) ประเทศออสเตรเลีย และนางสาวชลธิช ชื่นอุระ หัวหน้ากลุ่มโครงการส่งเสริมการอนุวัติข้อกำหนดกรุงเทพและการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดจาก TIJ
โดยเนื้อหาในการอบรมแบ่งออกเป็น 12 หัวข้อ ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของข้อกำหนดกรุงเทพ ได้แก่
- การบริหารจัดการเรือนจำโดยคำนึงถึงความละเอียดอ่อนทางเพศ
- การเลือกภูมิลำเนา เรือนจำ การรับเข้าเรือนจำ และกระบวนการจำแนกผู้ต้องขัง
- สุขภาพอนามัยและการดูแลสุขภาพโดยทั่วไป
- การดูแลสุขภาพประเด็นที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
- ความปลอดภัยของผู้ต้องขังหญิง
- การรักษาระเบียบ และความปลอดภัยในเรือนจำหญิง
- การติดต่อกับโลกภายนอก
- กิจกรรม และโครงการต่างๆ เพื่อฟื้นฟูนักโทษ
- หญิงมีครรภ์ มารดา และเด็กที่อาศัยอยู่ในเรือนจำ
- กลุ่มที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
- การเตรียมตัวก่อนปล่อย และ
- การดำเนินงานของเจ้าหน้าที่เรือนจำที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องขังหญิง
นอกจากนี้ ยังมีการพาผู้เข้าอบรมไปศึกษาดูงานเรือนจำที่เรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และทัณฑสถานบำบัดพิเศษหญิง อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ซึ่งได้รับการจัดให้เป็นเรือนจำต้นแบบตาม “ข้อกำหนดกรุงเทพ” และทัณฑสถานหญิงธนบุรี ซึ่งเป็นเรือนจำที่นำข้อกำหนดกรุงเทพไปปรับใช้
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีเรือนจำต้นแบบจำนวน 6 แห่ง ได้แก่
- เรือนจำจังหวัดอุทัยธานี
- ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่
- เรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
- ทัณฑสถานบำบัดพิเศษหญิง อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี
- ทัณฑสถานหญิงชลบุรี และ
- เรือนจำกลางสมุทรสาคร และในปี 2560 TIJ ได้เปิดรับสมัครและคัดเลือกเรือนจำจากภาคเหนือ โดยคาดว่าจะมีเรือนจำต้นแบบเพิ่มขึ้น 1-2 แห่ง และในขณะนี้อยู่ในกระบวนการ ประเมินความพร้อมและคัดเลือก
นอกจากนี้ TIJ ได้จัดทำแผนการพัฒนาเรือนจำต้นแบบระยะยาว 3 ปี (ปี 2560- 2562) โดยมุ่งขยายเรือนจำเป้าหมายให้ครบทุกภูมิภาคของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมให้เกิดศูนย์กลางการเรียนรู้ เรื่องเรือนจำหรือทัณฑสถานในการปฏิบัติตามข้อกำหนดกรุงเทพ และเอื้ออำนวยต่อการศึกษาดูงานแลกเปลี่ยน แนวทางการปฏิบัติอย่างทั่วถึง